Mirror’s Edge
Mirror’s Edge เป็นเกมแอ็คชั่นฟรีรันนิ่งจาก DICE ที่ถูกทิ้งห่างไปนานมากเพราะในภาคแรกได้วางจำหน่ายในปี 2008 จากนั้นก็เงียบยาวมาจนถึงต้นปี 2016 จากนั้นก็มีเหตุการณ์เลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนสุดท้ายก็ลงเอยในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่เราจะได้เล่นกันเสียทีกับภาคต่อที่ชื่อว่า Catalyst ที่ยังคงรูปแบบการเล่นไตล์ปากัวร์หรือฟรีรันนิ่งเหมือนเดิมและที่เพิ่มเติมก็คือระบบการต่อสู้ที่มีลูกเล่นมากขึ้นพร้อมกับยังมีปัญหาที่ต้องปรับปรุงอีกเหมือนเคย
สำหรับจุดเด่นของ Mirror’s Edge: Catalyst ก็จะยังคงคอนเซ็ปต์เดิมจากภาคแรกทั้งสถานที่ สไตล์การเล่น จะเหมือนกันเรียกว่าใครที่เคยเล่นภาคแรกมาก่อนพอมาเล่นในภาค Catalyst ก็เข้าใจได้ไม่ยาก มีรูปแบบการเล่นที่มุ่งเน้นการปืนป่ายตะกายตึกเป็นหลักครับเราสามารถวิ่งกระโดดตึก , สไลด์ผ่านท่อระบายน้ำ , ปืนกำแพง , โหนสลิง , วิ่งไต่กำแพง หรือพื้นที่ต่างระดับก็สามารถปืนป่ายได้ทั้งหมดจนเหมือนว่าพื้นที่ในเกมที่มีให้นั้นเป็นสนามเด็กเล่นของพวกฟรีรันนิ่งเลยล่ะครับและใครที่ชอบอะไรที่ผาดโผนโจนทะยานก็คงจะปลื้มกับภาคนี้ไม่น้อยเลย
กราฟิกบรรยากาศในเกมก็จะเหมือนกับภาคแรกอีกนั่นแหละครับกับสภาพพื้นที่ตึกรามบ้านช่องแบบโพลีกอนใช้โทนสีขาวเป็นหลักหรือวัตถุในเกมก็จะเป็นพวกผนังคอนกรีตกับกระจกซะส่วนใหญ่แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือบรรยากาศเกมที่ให้ความเป็นเมือง Dystopia สูงมากรู้สึกถึงความมืดหม่นผสมกับเทคโนโลยีไฮเทครวมไปถึงพวกสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์กับระบบเสียงในเกมก็ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับซึ่งโดยรวมแล้วในส่วนนี้ Mirror’s Edge: Catalyst ทำได้เยี่ยมมากครับ
ตัวเกมก็จะเน้นที่การวิ่งปืนป่ายไปมาแต่ในส่วนของระบบต่อสู้ในภาค Catalyst ก็โดดเด่นไม่แพ้กันโดยการต่อสู้ในภาคนี้เราจะอาศัยการเคลื่อนไหวของเราเป็นอาวุธนั่นคือการใช้ทักษะฟรีรันนิ่งมาเสริมกับการเตะ-ต่อยเช่นกระโดดลงไปอัดที่ใบหน้า , วิ่งไต่กำแพงเสริมแรงหมัดหรือการปลดอาวุธก็ยังทำได้เหมือนเดิมแต่ขณะเดียวกันถ้าหากให้ตัวละครเตะต่อยเฉย ๆ ก็เป็นอะไรที่ธรรมดาพื้นฐานมากไม่มีจุดเด่นเท่าไหร่ต้องใช้การเสริมแรงที่ว่าสร้างความแตกต่างได้
อีกอย่างก็คือถึงเราจะใช้ลูกเล่นได้มากแค่ไหนแต่การต่อยตีแต่ละครั้งไม่รู้สึกถึงน้ำหนักหรือรู้สึกถึงความแรงของหมัดเลย นอกจากนี้การต่อสู้กับ AI ในเกมก็ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่อย่างการผลักหรือต่อยศัตรูให้ตกจากที่สูงที่บางครั้งเราแค่ต่อยธรรมดาไม่ได้มีความรุนแรงมากแต่ศัตรูที่โดนก็กระเด็นตกตึกไปเสียแล้วหรือต่อยศัตรูแล้วไปโดนศัตรูอีกตัวที่อยู่ใกล้ ๆก็ทำออกมาแปลก ๆ ทำให้เมื่อเล่นไปนาน ๆ จะหงุดหงิดขัดใจพอสมควร
เนื้อเรื่องในภาคนี้ก็ใช้เวลาเล่นรวมแล้วก็ไม่มากไม่น้อยประมาณ 10-12 ชั่วโมงโดยจะมีเควสย่อยโผล่มาให้ทำประปรายพร้อมกับมีความเป็น Puzzle ปริศนาให้แก้ไขโดยผู้เล่นจะต้องใช้สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวในการไขปริศนาให้ได้หรือจะให้อารมณ์ราว ๆ กับ Assassin’s Creed ภาค 2 ก็ว่าได้ครับและเกือบลืมกับระบบ Tech Tree ที่สามารถแบ่งได้เป็น 3 หมวดคือ Movement , Combat , Gear ซึ่งก็แล้วแต่ตามความถนัดแต่ละคนเลยครับว่าจะเน้นอัพเกรดอันไหน
การเดินเรื่องของ Mirror’s Edge: Catalyst จะค่อนข้างน่าเบื่อไปนิดไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายพอสมควรแต่ในส่วนของฉากคัทซีนก็เป็นสิ่งที่ดีงามพอทดแทนขึ้นมาได้บ้างครับ ในส่วนโหมดการเล่นอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็จะมี Time trial เป็นการจับเวลาวิ่งไปให้ถึงที่หมายก็รู้สึกท้าทายดีเหมือนกับได้แข่งกับตัวเองหรือ Challenge ที่เป็นการทำคะแนนและวิ่งไปให้ที่จุดที่กำหนดก็ทำได้เพลินดีแต่สำหรับโหมดการเล่นที่ว่ามาแนะนำว่าให้เคลียร์เนื้อเรื่องเกมให้จบก่อนเพราะจะได้คุ้นเคยกับสถานที่ช่วยให้เล่นง่ายขึ้นครับ
สรุปแล้ว Mirror’s Edge: Catalyst ก็จะยังคงรูปแบบเหมือนกับภาคแรกไม่มีผิดรวมถึงข้อเสียของมันก็พ่วงตามมาด้วยเช่นกันกับระบบการต่อสู้ที่ขาด ๆ เกิน ๆ ดูไม่มีน้ำหนักแม้จะมีลูกเล่นเทคนิคแพรวพราวในการเตะต่อยก็ตาม เนื้อเรื่องในเกมค่อนข้างน่าเบื่อหรือเฉย ๆ มากกว่าสนุกตื่นเต้นแต่ตัวเกมก็มีส่วนที่ดีงามในเรื่องกราฟิกบรรยากาศเกมหรือพวกองค์ประกอบศิลป์ทั้งหลายแหล่ที่ทำได้ดีมากและถ้าหากเล่นในความละเอียด 1080p 60fps จะได้รับประสบการณ์ที่น่าตื่นตะลึงรวมทั้งระบบการเคลื่อนไหวแบบฟรีรันนิ่งที่ทำได้พริ้วไหวน่าประทับใจเหมาะกับคนที่ชอบศิลปะการเคลื่อนไหวแบบนี้หรือสาวก Mirror’s Edge ภาคแรกก็ควรจะลองภาค Catalyst นี้ครับ
0 item total: 0 บาท |