Nioh: Complete Edition / 仁王 Complete Edition
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในวงการเกม เหล่านักพัฒนาค่ายต่างๆได้พยายามนำเสนอรูปแบบการเล่น แนวทางการเล่นเกมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา แนวเกมที่พวกเราคุ้นเคยอย่าง FPS,RPG,Sport,Fighting Game ก็ได้มีการพัฒนากันมาตลอด แน่นอนครับว่าเมื่อมันมาถึงจุดๆหนึ่ง ก็จะเป็นจุดอิ่มตัวที่หมดหนทางในการพัฒนาแนวทางหรือรูปแบบการเล่นใหม่ๆเข้าไปในเกมแนวเดิมที่มีอยู่แล้ว การมาของ Demon’s Soul หรือ Soul series ก็ได้แสดงให้เห็นถึงแปลกใหม่อีกทั้งของเกมแนว Action RPG ด้วย Gameplay การเล่นที่ “ยาก” แต่มีความสนุกอยู่ในตัวของมันเอง มาพร้อมกับระบบ Online ที่แปลกใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัวเกมได้รับความนิยมสูงมาก ถึงขนาดทำภาคต่อออกมาหลายภาค
แน่นอนว่าตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับเกมที่รับฉายาว่า “ตายไม่รู้จบ” เช่นกันครับ ผมติดตามซีรี่ส์ Soul มาตลอดนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เล่น Dark Soul ในเครื่อง Xbox 360 ประสบการณ์ การตายไม่รู้จบครั้งนั้น ทำให้ผมตกหลุมรักเกมชุดนี้ไปโดยทันที ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีนักพัฒนาหลายๆ ทีมได้พยายามลองนำเอาสูตรสำเร็จของซีรี่ย์ Soul มาใช้ เพื่อหวังจะสร้างแนวเกมที่แตกต่างกันไปตามแนวความคิดของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น Bound by Flame, Lords of the Fallen แต่ตัวเกมก็ไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากนัก ทำให้ตัวเกมไม่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้เล่นสักเท่าไร Ni-Oh เองก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ได้นำเอาสูตรสำเร็จของซีรี่ส์ Soul มาใช้เช่นกัน และสำหรับผมแล้ว Ni-Oh “มันเป็นอะไรที่มากกว่าเกมโคลนของ Dark Soul เสียอีกครับครับ”
ย้อนตำนานสร้าง Nioh
ย้อนกลับไปสมัยปี 2005 ค่าย Koei Tecmo (สมัยนั้นยังชื่อ Koei) ได้ประกาศเปิดตัวเกม “Oni” เกม Action RPG โดยที่ตัวเกมนั้นจะนำเอาเนื้อหาของบทภาพยนตร์ที่ยังเขียนไม่เสร็จของ “อ.คุโรซาว่า อากิระ” ผู้สร้างและกับกำหนังชื่อดังอย่าง Seven Samurai โดย อ.คุโรซาว่า อากิระ นั้นได้เสียชีวิตก่อนที่เขาจะเขียนบทเสร็จ จนกระทั่งลูกชายของเขา “คุโรซาว่า ฮิซาโอะ” นั้นจะมาสานต่อสิ่งที่พ่อเขาทำไว้ คือมากำกับหนังเรื่องนี้โดยขณะเดียวกันทาง Koei ก็จะทำเกมจากภาพยนตร์ในเรื่องเดียวกันออกมาวางจำหน่ายอีกด้วย ในปี 2006 ตัวเกมได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานโตเกียวเกมโชว์ โดยทาง Koei ได้มอบหมายงานนี้ให้กับ Team Ninja (Ninja Gaiden, Dead or Alive) และหลังจากนั้น ข่าวของเกมและหนังเรื่องนี้ก็เงียบหายไป…..
จนกระทั่งในปี 2015 ทาง Koei Tecmo ก็ได้ออกมาพูดถึงเกม Oni อีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น Ni-Oh พร้อมกับตัวอย่างเกมที่ทำเอาแฟนหนังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั้นคลั่ง พร้อมกับการประกาศลงให้ระบบ PS4 แบบ Exclusive ภายในปี 2016 แน่นอนว่าตัวผมเองก็ไม่ได้มีความอยาก ที่จะเล่นเกมนี้เพราะเบื่อแล้วกับซามูไรเดิมๆ จนกระทั่งได้มาเห็นตัวอย่าง Gameplay นั้นล่ะครับ ผมคิดได้แค่อย่างเดียวว่า เกมนี้มันลอก Dark Soul มาชัดๆเลยนี่หว่า จนได้ลองเล่น Demo ดูก็ยังคงคิดอยู่ว่ามันก็คือ Dark Soul ในรูปแบบซามูไรญี่ปุ่นเท่านั้น ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้นมีเกมออกใหม่เยอะมาก ผมจึงแทบไม่ได้เล่นเจ้า Demo นี้ต่อเลย
จนกระทั่งตัวเกมเต็มวางจำหน่าย ต้องขอบคุณทีมงาน Beartai.com และ Sony Thailand มากๆ ที่เป็นผู้สนับสนุนตัวเกมสำหรับบทความรีวิวในครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสกลับมาเล่นอีกครั้งในเวอร์ชั่นเต็ม Ni-Oh เป็นเกม Action RPG มุมมองบุคคลที่สาม และนำเอาประเทศญี่ปุ่นยุคเซ็นโกคุเข้ามาเป็นฉากหลังภายในเกม พร้อมกับเรื่องราวตามประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ตัวเกมจะเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่มีตัวตนจริงๆ โดยมีการแต่งเสริมเติมแต่งเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับทูตผีวิญญานเข้าไปในเกม โดยที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นซามูไรหนุ่มคนนึงทำให้ผู้เล่นรู้สึกราวกับว่าได้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์จริงๆที่ประเทศญี่ปุ่น ณ ยุคนั้นเลยทีเดียว และหลังจากที่ผมได้ใช้เวลาเกือบ 50 ชั่วโมงในเกม ผมก็ได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้ว Nioh นั้นมันมีสูตรสำเร็จในตัวของมันเองทุกประการโดยที่ตัวเกมนั้นจะให้ความรู้สึกเหมือนนำเอา Ninja Gaiden, Dark Soul , Onimusha , Assassin’s Creed และ Monster Hunter ผสมรวมกันกลายเป็นเกมเดียวกันเลยล่ะครับ
Let The Flames Begin
ในเกม Ni-Oh นั้นตัวเกมจะเล่าเรื่องผ่าน William Adams ซามูไรหนุ่ม ที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ เขาเป็นถึงซามูไรชาวตะวันตกคนแรกของโลก William นั้นได้มาที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อตามล่าคนที่แย่งชิง “Guardian” (ผู้พิทักษ์) ประจำตัวจากเขาไป จนได้ไปพบกับ Hattori Hanzo นินจาหนุ่มผู้ที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เช่นกัน เขาได้เห็นฝีมือการใช้ดาบ และการปราบปีศาจของ William ทำให้ Hattori เกิดความสนใจในตัวเขา William บอกว่าเขามาที่นี้เพื่อตามหาคนที่มาแย่งชิง Guardian ของเขาไป Hattori จึงเสนอว่าจะช่วยตามหา พร้อมกับมีขอแลกเปลี่ยนให้ว่าเขาจะต้องมาช่วย Hattori ปราบปีศาจ และทำภารกิจให้กับเขาตัวเกมจะเริ่มต้นจากจุดนี้
ในโลกของ Ni-Oh จะแตกต่างจากโลกของ Soul ซีรี่ส์ โดยที่ตัวเกมจะแบ่งแผนที่ออกไปตามภารกิจ ผู้เล่นจะสามารถเลือกทำภารกิจใดๆ ก่อนก็ได้ โดยตัวเกมจะมีทั้งภารกิจหลักและภารกิจเสริม
สิ่งที่แตกต่างไปจากซีรี่ส์ Soul ก็คือฉากภายในเกมนั้นจะมีการกำหนดเขตทั้งหมดไว้ภายในฉากนั้นๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเกม Action ผ่านด่านทั่วไปๆ แตกต่างจากซี่รี่ส์ Soul ที่ตัวเกมจะนำเอาโลกขนาดกว้างใหญ่มาให้ผู้เล่นได้สำรวจกันแบบ Open World ไร้รอยต่อนั้นเองครับ แต่อย่างไรก็ตาม ฉากภายในเกม Ni-oh นั้นก็ยังคงมีขนาดที่กว้าง และใหญ่พอสำหรับการสำรวจเพื่อค้นหาไอเท็มใหม่ๆ หรือทางลับที่จะทำให้การเดินทางของเราง่ายขึ้นเช่นกัน
โดยข้อดีของมันก็คือ ด้วยการที่เราจะได้ผจญภัยในประเทศญี่ปุ่น ตัวเกมก็จะพาเราไปผจญภัยทั้ง 6 ทวีป 17 ภารกิจหลักโดยในแต่ละภารกิจก็จะมีฉาก และ ภูมิประเทศ ที่แตกต่างกันออกไปเป็นอย่างมากอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่รวมฉากอื่นๆในภารกิจเสริมนะครับ
Is More Then Just Soul Clone
“เอาล่ะ เข้าสู่เนื้อหาการรีวิวเสียที ต้องขอบอกท่านผู้อ่านทุกๆท่านก่อนว่าตัวผมเองนั้นเป็นแฟนซีรี่ส์ Soul ได้เล่นและติดตามมาทุกภาค ในตลอดการเล่น Ni-Oh ตัวผมได้มีความคิดที่จะพยายามนำเอาตัวเกมไปเปรียบเทียบกับ ซีรี่ส์ Soul มาตลอด จนเมื่อผมเล่นไปสักพักใหญ่ๆ ผมก็ได้ค้นพบถึงความจริงหลายอย่างที่ทำให้เกมนี้นั้นแตกต่างออก ไม่เหมือนกับซีรี่ส์ Soul เลยครับ แต่อย่างไรก็ตาม บทความรีวิวเกม Ni-Oh ในครั้งนี้ผมจะเขียนถึง ความแตกต่าง ที่คล้ายกันออกไปสำหรับตัวเกมนี้และซีรี่ส์ Soul พร้อมกับจุดเด่นและจุดด้อยของเกมครับ”
อย่างที่ผมได้บอกไปตอนแรกว่า NI-OH เป็นเกม Action RPG ที่มีผลงานมาจาก Team Ninja ผู้ให้กำเนิด Ninja Gaiden , Dead or Alive ชื่อดังที่หลายๆคนรู้จัก โดยสำหรับเจ้า Ni-Oh นี้ตัวเกมนั้นได้นำเอาระบบ Soul ระบบ จุดเซฟ “Bonfire” และระบบ Online มาใช้ แต่ในส่วนของทั้ง Gameplay และ Boss Fight นั้นให้ความรู้สึกเหมือน Ninja Gaiden มากกว่าครับ นอกจากนั้นตัวเกมยังมีระบบการ forge อาวุธ ชุดเกราะ โดยที่ผู้เล่นจะต้องไปล่าตามหาวัตถุดิบเอาจากสถานที่ต่างๆหรือวัตถุดิบแรร์ที่หาได้จากการฆ่าบอสเท่านั้นครับ
0 item total: 0 บาท |