Hinterland ค่ายเกมอินดี้เล็กๆ สัญชาติแคนาดาเริ่มต้นโปรเจ็คบน Kickstarter ในปี 2013 เพื่อระดมทุนจนสำเร็จเสร็จเป็นเกม Early Access ปล่อยให้เล่นกันบน Steam ในปี 2014 หรือเมื่อราว 3 ปีก่อน ซึ่ง Dev ได้ทำการแก้ไขปรับปรุง พัฒนาตัวเกม อัพเดท Patch ตลอดระยะเวลาที่วางจำหน่ายจนถึงปัจจุบัน ในที่สุดก็ Launch  เวอร์ชั่นเกมฉบับตัวเต็มในวันที่ 1 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ซึ่งได้เพิ่มโหมด Story เป็นครั้งแรกจากเดิมที่มีเพียงแค่ Sandbox เล่นไปเรื่อยๆ เรามาดูรีวิวแยกกันทีละส่วนดังนี้

 

 

 

Story

 

 

เนื้อเรื่องจะแบ่งเป็น Season ซึ่งปัจจุบันที่ปล่อยออกมาฉบับวันที่ 1 สิงหาคมคือ Wintermute แยกเป็น 2 Episode เริ่มต้นเกมมาคุณจะได้รับบทเป็น William Mackenzie นักบินจำเป็นที่ต้องพา Dr. Astrid Greenwood ไปส่งยังที่หมาย แต่ด้วยสภาพอากาศพายุหิมะอันเลวร้ายและปรากฏการณ์แปลกประหลาดบางอย่างขณะบินข้ามป่าทางตอนเหนือของแคนนาดา ทำให้เครื่องบินตก ซึ่งจากจุดนี้ผู้เล่นต้องทำการหาทางเอาชีวิตรอดและตามหาเพื่อนร่วมทางให้เจอ ซึ่งเนื้อเรื่องจะค่อยๆ อธิบายไปตั้งแต่ Basic สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่เคยเล่นมาก่อน จนถึงผู้เล่นเก่า เพราะมีการเปลี่ยนแปลง UI และ Gameplay ในบางอย่างใหม่

 

 

 

ภารกิจภายในเกมจะแบ่งเป็น Main Quest และ Side Quest ที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ รวมไปจนถึงตัวละคร NPC ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้จากเกมแนว Sandbox เล่นเรื่อยๆ กลายเป็น Adventure Survival Open World คือคุณมีอิสระในการเดินทางทั่วทั้ง Map อีกทั้งเนื้อเรื่องมีความลึกลับและเป็นปริศนา คล้ายเราเป็นนักสืบ เพราะไม่ใช่เพียงแค่เอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ต้องหาความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่ง NPC ที่เราไปพบเจอก็จะมี Story แยกย่อยของตัวเองที่ผูกปมและเงื่อนงำมาได้ดีกว่าที่คิด สิ่งที่เมย์ประทับใจคือแม้ Map หรือ Region ภายในเกมแม้จะมีความกว้างมากแต่ Story สามารถเอาทุกอย่างมาร้อยเรียงผูกเข้าด้วยกันแบบมีเหตุมีผล ที่มาที่ไป สถานที่ที่เราเคยคิดว่าแค่ตั้งมาสวยๆ?? กลับมีปริศนาและปมขัดแย้งที่จะเฉลยใน Story Mode

 

 

 

 

Gameplay

 

 

ใน Sandbox Mode เกมจะไม่มีการจูงมือผู้เล่นใดๆ สามารถเลือกตัวละครเป็น ชาย หรือ หญิงก็ได้ และมีระดับความยากให้เลือก 4 ระดับ ตัวเราจะ Random เกิดใน Map (มีให้เลือก 6 Map ด้วยกันซึ่งพื้นที่กว้างขวางและเชื่อมต่อกันทั้งหมด) เป้าหมายในเกมนี้ Simple มากๆ คุณต้องเอาตัวรอดด้วยปัจจัยพื้นฐาน แทบค่าพลังในเกมจะไม่ใช่ HP ของตัวเราหรือศัตรู (ซอมบี้แบบเกมอื่น) แต่จะเป็น  ความหิว (อาหาร/น้ำ), ความเหนื่อยล้า, ความหนาว และ เราสามารถเจ็บป่วยได้ ตั้งแต่ แขนหัก ขาหัก เลือดไหลจากบาดแผล หรือ หากกินของเน่าเสียก็สามารถเกิดอาหารเป็นพิษได้ ซึ่งการตายหรือการที่จะต้องรอดในเกมนี้ค่อนข้างเน้นความสมจริง กดดันมากกว่าจะรวดเร็ว เพราะหากคุณหิวคุณจะไม่ตายภายในทันที (เป็นวันหรือหลายวัน!) หรือแม้จะโดนสัตว์ป่าทำร้ายก็ไม่ได้ตายเพราะโดนกัดครั้งเดียวเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะตายเพราะการติดเชื้อบาดแผล หรือหนาวตายจากการฉีกขาดของเสื้อผ้า หาบ้านหรือที่พักหลับนอนไม่เจอ ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งพื้นฐานแต่เป็นระบบที่ออกแบบมาได้ซับซ้อนมาก โดยตัวเกมจะเน้นให้เราแก้ปัญหาอย่างใช้หลักตรรกะเหตุผลมากกว่า เช่น เสื้อผ้าขาดก็ซ่อม แต่การจะซ่อมก็ต้องมีเข็มกับด้าย (ไม่มีเข็มกับด้าย ยังสามารถเอาอย่างอื่นที่คล้ายมาซ่อมได้อีก!) อาหารที่มีให้กินก็จะมีหลายประเภท ทั้งอาหารสำเร็จหรือถ้าหาไม่เจอก็ล่าสัตว์ไม่ก็ออกหาของป่ากินแทน ถ้ายาไม่มีก็หาสมุนไพรใช้ประทังแทนความเจ็บปวดหรือการติดเชื้อได้

 

 

 

การบังคับจะเป็น 1st Person มุมมองบุคคลที่หนึ่ง เมย์เล่นมาเป็นหลักเกิน 300 ชั่วโมงไม่มีอาการเวียนหัวเพราะเกมไม่ได้เน้นความเร็ว การปะทะหรือต่อสู้จะไม่เน้นตาต่อตาฟันต่อฟันแต่เน้นการวางแผนบริหารจัดการมากกว่าเพราะกระสุนและอาวุธในเกมมีจำกัดมาก อีกทั้งศัตรูในเกมอาทิ หมาป่า ไมได้คิดจะพุ่งตรงเข้ามาหากคุณไม่ก้าวก่ายอาณาเขตของมันก่อน และแม้ตัวเกมจะเป็น Survive แต่ระบบนั้นมีลักษณะเกม RPG ผสมเข้าไปด้วยคือ มี Skill ด้านต่างๆ ให้อัพ Level ไปตั้งแต่ การล่าสัตว์, การทำอาหาร, การซ่อมแซมเสื้อผ้า, การจุดไฟ เป็นต้น อีกทั้ง ยังมีระบบ Loot และ Craft เข้ามาด้วย เรียกได้ว่า รวม Gameplay สำหรับคนชอบแนวต้องรอดแบบซ่อมได้ UI ออกแบบมาให้ใช้งานได้สะดวก มีทั้งแบบเมนูเรียกดูอย่างละเอียดแยกทีละหมวด ค่า Status สภาพร่างกาย, Inventory สิ่งของต่างๆ, Quest, NPC ตัวละคร และมี key ลัดให้เรียกใช้ด่วนโดยไม่ต้องเข้าก็ได้เช่นกัน

 

 

 

ในด้านการเล่นก็มีหลายโหมดคือ STORY, SURVIVAL หรือก็คือ Sandbox สำหรับคนชอบเล่นเรื่อยๆ ยิงยาว (ว่าเราจะรอดได้นานสุดกี่วัน ซึ่งแข่งขันบน Leaderboard ได้) และโหมด CHALLENGES ที่จะมีเป้าหมาย Goals ให้ทำ ที่หากทำสำเร็จจะได้เหรียญเอาไปใช้บูท Stat บางอย่างในโหมดอื่นได้!

 

 

Graphic & Sound

 

 

 

ตั้งแต่วางจำหน่ายในปี 2014 มาจนถึงปัจจุบัน 2017 Art ในเกมนี้มีการปรับเปลี่ยแบบยกเครื่อง จากแรกๆ เลยถ้าเอามาเทียบดูจะเห็นได้ว่า ภาพเกมเวอร์ชั่นเต็มมีความสมจริงด้าน Anatomy แต่จะมีการผสมความเป็น CelShade (คล้าย Zelda แต่โทนสี Dark กว่า) อีกทั้ง ผู้พัฒนายังได้ปรับ Layer ความสมจริงทั้งในแง่ของแสงเงาที่ตกสะท้อนภายในเกม ความสว่างก็จะมีหลายระดับ แต่ละประเภท ไม้ขีด กองไฟ ตะเกียง (รวมถึงความมืดในตอนกลางคืน) Texture สิ่งของ บ้านเรือน เสื้อผ้า อัพเกรดให้ดู clean สบายตาขึ้นมาก

 

 

 

ส่วนของเสียงที่เพิ่มมาแบบชุดใหญ่คือ การพากย์ของตัวละคร ทั้งตัวละครที่เราบังคับและ NPC ที่เจอในเควสต่างๆ ซึ่งเทียบระดับสเกลเกมพัฒนาจากทีมเล็กๆ อินดี้แล้ว คุณภาพจัดว่าคับแก้วมาก Sound Effect คือเอกลักษณ์อีกอย่างของ TLD เสียงที่คุณไม่รู้ว่าคือเสียงอะไรแล้วจะทำให้เรากลัวไปเอง ทั้งที่เป็นเกมที่ค่อนข้างเงียบ มีแต่หิมะสีขาวกับธรรมชาติ ภูเขาน้ำตก แต่เสียงอย่างกิ่งไม้สีกระทบกัน เสียงฝีเท้าเวลาเดินบนไม้กระดาน เสียงลมเวลาพัดปลิวไปโดนสิ่งของแล้วก่อให้เกิดเสียงอื่นจนทำให้เราแอบผวา เสียงสัตว์ป่าจากที่ไกลๆ หรือแม้แต่เวลาเข้ามาใกล้ๆ (การหายใจ การขู่ ฝีเท้า) ทุกอย่างทำให้เกมน่ากลัวและกดดันแบบสดใหม่ต่างจากเกม Survival เกมอื่นๆ มาก

 

 

VERDICT : 9/10

 

GOOD

- เกมแนว Survival เอาตัวรอดที่มี Concept ไอเดียแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร ศัตรูคือสภาพอากาศและการท้าทายขีดจำกัดร่างกายตัวเองด้านปัจจัยสี่

- กราฟิกสวยงาม การออกแบบดีไซน์ผังเมือง บ้านเรือน ธรรมชาติ แม่น้ำ ภูเขา ผสมผสานความสมจริงทางด้าน Texture แสงเงาแต่มี Art style แนว CelShade

- มี Mode ให้เลือกเล่นหลากหลาย แม้จะจบ Story ก็สามารถเล่นยิงยาวได้เป็นหลักร้อยชั่วโมงใน Mode อื่นๆ ได้

- Gameplay มีความคิดสร้างสรรค์ในการเอาตัวรอด เน้นให้ผู้เล่นวางแผนบริหารจัดการและแก้ปัญหามากกว่าจะบู๊ตะบันเผชิญหน้า แนวเกมผสมทั้งการอัพ Skill กึ่งๆ RPG และมีความเป็น Adventure Open World สามารถเดินทางได้อย่างอิสระทั่วทั้ง Map (ซึ่งมีถึง 6 Map และมีเนื้อที่กว้างขวางมากชนิดเล่นหลายรอบก็อาจไม่สามารถไปได้ครบทุกตารางนิ้ว)

- จัดเป็นเกมอินดี้แต่ควอลิตี้ AAA คุ้มค่าทั้งในแง่คุณภาพและราคา 639 บาทไทย (ใครซื้อเวอร์ชั่น Early Access เมื่อหลายปีก่อนราคาจะยิ่งถูกกว่า) อีกทั้งวางจำหน่ายทั้งบน PC Steam และ Console

 

BAD

- เนื้อเรื่องแบ่งเป็น Season แปลว่าจะต้องรอการอัพเดทในอนาคตอย่างไม่รู้กำหนดเท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน Season แรกมีเพียง 2 Episode

- โทนเกมเน้นความเงียบ ความเนิบ การคิดและตัดสินใจ ดังนั้นจะไม่ได้มีความรวดเร็วและเสียงเพลงประกอบรวมถึง Sound ก็จะไม่ได้อึกทึก เหมาะสำหรับการเล่นดำดิ่ง ซึ่งอาจไม่ใช่รสนิยมสำหรับแฟนเอาตัวรอดสาย Action สักเท่าไหร่

- Story Mode มี BUG เล็กน้อยประปรายซึ่งแม้ Dev ทำการแก้ไขอัพ Patch สม่ำเสมอเป็นประจำ แต่ว่าก็ยังคงมีพบเจอในบางจุดหรือบางเควส ด้าน Sandbox จะเล่นได้ลื่นและเป็นจุดแข่งของเกมมากกว่าด้วยระยะเวลาที่ออกมาก่อนนานมากแล้ว