ภาคเสริมตัวใหม่ของสุดยอดเกมวางแผนสงครามโลก ที่ให้ผู้เล่นสวมบทผู้บัญชาการทหารฝ่ายอเมริกัน เข้าเผชิญหน้ากับกองทัพนาซีที่มีวิทยการอาวุธสุดล้ำสมัย ในสมรภูมิแนวรบตะวันตกที่ว่ากันว่าดุเดือดและรุนแรงที่สุดแห่ง World War II
หลังจากที่ได้สัมผัสบรรยากาศการคุมทัพโซเวียตไปก่อนหน้าในเกมภาคหลัก ในคราวนี้ก็ถึงคิวที่เหล่าคอมมานเดอร์ทั้งหลายจะได้หวนกลับคืนถิ่นมาบัญชาการกองทัพสหรัฐฯต้นฉบับดั้งเดิม ซึ่งหากใครที่แฟนประจำซีรีส์ หรือเกิดทันเล่นเกมนี้มาตั้งแต่ภาคแรก คงคุ้นเคยกับเหล่ายูนิต และคงรู้ไส้รู้พุงจุดอ่อนจุดแข็งของกองพันมหาอำนาจผู้เปรียบเสมือนเสี้ยนหนามยอกอกฮิตเลอร์นี้กันเป็นอย่างดี
เรื่องราวภายในเกม จะบอกเล่าถึงเหตุการณ์มหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพสหรัฐฯในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่คนไทยรู้จักกันในนาม "ยุทธการตอกลิ่ม" (Battle of the Bulge) ซึ่งเป็นการบุกใหญ่ครั้งสุดท้ายของทัพเยอรมนี ผ่านภูเขาอาร์แดน (Ardennes) ในเบลเยียมที่มีสภาพเป็นป่าทึบบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงใกล้สิ้นสุดสงคราม เพื่อหมายผ่าแนวรบสัมพันธมิตรอังกฤษกับอเมริกาออกเป็นสอง และบีบให้สัมพันธมิตรตะวันตกเจรจาสนธิสัญญาสันติภาพซึ่งเอื้อแก่ฝ่ายอักษะ
ในฐานะที่เป็นเพียงแค่ภาคเสริม ระบบการเล่นจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักจากเกมภาคหลัก Company of Heroes 2 ซึ่งยังคงเป็นเกมแนว RTS ที่เน้นบริหารจัดการทรัพยากรในกองทัพให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยมีกองกำลังให้เลือกใช้ทั้งทหารราบ ไปจนถึงรถถังยานเกราะ ซึ่งบนฉากแผนที่จะมีจุดยุทธศาสตร์สำคัญให้ยึดเพื่อเพิ่มทรัพยากรในการเรียกกองกำลังมาเสริมทัพ แต่ที่เห็นเพิ่มมาใหม่ในภาคเสริมนี้คงเป็นแผนที่สมรภูมิที่ให้เราสามารถเลือกหนทางเดินทัพไล่ยึดพื้นที่ทีละโซนแบบเกมเทิร์นเบส ซึ่งชวนให้วนกลับมาเล่นใหม่ได้หลายๆรอบ
ทางฝั่งยูนิตของกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงก่อนเริ่มเข้าปฏิบัติภารกิจตัวเกมจะเปิดโอกาสให้เราได้เลือกทหาร 3 หน่วยจากทั้งหมด 4 หน่วยทหารในเกม อันได้แก่ ทหารราบ, ทหารช่าง, หน่วยสนับสนุน และพลร่ม ซึ่งเมื่อจบในแต่ละภารกิจหน่วยทหารของเราจะได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มแรงค์ และยังสามารถอัพเกรดใส่สกิลให้กับทหารเพื่อใช้ในภารกิจต่อไปได้ ส่วนเหล่ายูนิตประเภทยานเกราะของฝ่าย US ที่สำคัญและต้องใช้บ่อยๆก็มีรถถัง M5 Stuart กับรถถัง M4 Sherman ที่พระเอกหนุ่ม "แบรด พิทท์" เคยนั่งบัญชาการในหนังเรื่อง Fury แต่อย่านึกว่ามีรถถังฮีโร่แล้วจะคึกคะนองได้ เพราะศัตรูตัวฉกาจอย่างเจ้ารถถัง Tiger ของเยอรมันก็ติดสอยห้อยตามมาด้วยเช่นกัน ซึ่งคนที่ได้ดูหนังมาคงรู้วิธีจัดการกับมันหมดแล้ว
หลังจากที่ได้สัมผัสบรรยากาศการคุมทัพโซเวียตไปก่อนหน้าในเกมภาคหลัก ในคราวนี้ก็ถึงคิวที่เหล่าคอมมานเดอร์ทั้งหลายจะได้หวนกลับคืนถิ่นมาบัญชาการกองทัพสหรัฐฯต้นฉบับดั้งเดิม ซึ่งหากใครที่แฟนประจำซีรีส์ หรือเกิดทันเล่นเกมนี้มาตั้งแต่ภาคแรก คงคุ้นเคยกับเหล่ายูนิต และคงรู้ไส้รู้พุงจุดอ่อนจุดแข็งของกองพันมหาอำนาจผู้เปรียบเสมือนเสี้ยนหนามยอกอกฮิตเลอร์นี้กันเป็นอย่างดี
เรื่องราวภายในเกม จะบอกเล่าถึงเหตุการณ์มหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพสหรัฐฯในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่คนไทยรู้จักกันในนาม "ยุทธการตอกลิ่ม" (Battle of the Bulge) ซึ่งเป็นการบุกใหญ่ครั้งสุดท้ายของทัพเยอรมนี ผ่านภูเขาอาร์แดน (Ardennes) ในเบลเยียมที่มีสภาพเป็นป่าทึบบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงใกล้สิ้นสุดสงคราม เพื่อหมายผ่าแนวรบสัมพันธมิตรอังกฤษกับอเมริกาออกเป็นสอง และบีบให้สัมพันธมิตรตะวันตกเจรจาสนธิสัญญาสันติภาพซึ่งเอื้อแก่ฝ่ายอักษะ
ในฐานะที่เป็นเพียงแค่ภาคเสริม ระบบการเล่นจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักจากเกมภาคหลัก Company of Heroes 2 ซึ่งยังคงเป็นเกมแนว RTS ที่เน้นบริหารจัดการทรัพยากรในกองทัพให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยมีกองกำลังให้เลือกใช้ทั้งทหารราบ ไปจนถึงรถถังยานเกราะ ซึ่งบนฉากแผนที่จะมีจุดยุทธศาสตร์สำคัญให้ยึดเพื่อเพิ่มทรัพยากรในการเรียกกองกำลังมาเสริมทัพ แต่ที่เห็นเพิ่มมาใหม่ในภาคเสริมนี้คงเป็นแผนที่สมรภูมิที่ให้เราสามารถเลือกหนทางเดินทัพไล่ยึดพื้นที่ทีละโซนแบบเกมเทิร์นเบส ซึ่งชวนให้วนกลับมาเล่นใหม่ได้หลายๆรอบ
ทางฝั่งยูนิตของกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงก่อนเริ่มเข้าปฏิบัติภารกิจตัวเกมจะเปิดโอกาสให้เราได้เลือกทหาร 3 หน่วยจากทั้งหมด 4 หน่วยทหารในเกม อันได้แก่ ทหารราบ, ทหารช่าง, หน่วยสนับสนุน และพลร่ม ซึ่งเมื่อจบในแต่ละภารกิจหน่วยทหารของเราจะได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มแรงค์ และยังสามารถอัพเกรดใส่สกิลให้กับทหารเพื่อใช้ในภารกิจต่อไปได้ ส่วนเหล่ายูนิตประเภทยานเกราะของฝ่าย US ที่สำคัญและต้องใช้บ่อยๆก็มีรถถัง M5 Stuart กับรถถัง M4 Sherman ที่พระเอกหนุ่ม "แบรด พิทท์" เคยนั่งบัญชาการในหนังเรื่อง Fury แต่อย่านึกว่ามีรถถังฮีโร่แล้วจะคึกคะนองได้ เพราะศัตรูตัวฉกาจอย่างเจ้ารถถัง Tiger ของเยอรมันก็ติดสอยห้อยตามมาด้วยเช่นกัน ซึ่งคนที่ได้ดูหนังมาคงรู้วิธีจัดการกับมันหมดแล้ว