• login
  • register
  • How to
  • product
  • game pc
  • Promotion

Flash banner right

ทำไมเกมเมอร์หลายคนต้องการ Bully ภาคต่อ

Bully เป็นเกมอะไร

Bully

Bully เป็นเกมแอคชั่น-ผจญภัย เปิดโลกกว้าง (Open-World) ที่พัฒนาโดยทีมงาน Rockstar Vancouver โดยผู้เล่นจะรับบทเป็น Jimmy Hopkins วัยรุ่นชายเจ้าปัญหาที่ทำสถิติโดนไล่ออกจากโรงเรียนติดต่อกันถึง 7 ครั้ง ในข้อหาก่อพฤติกรรมเป็นเด็กดื้อ ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาท, ทำลายสิ่งของสาธารณะ, กราฟฟิตี้, ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่, และใช้คำไม่พูดเหมาะสม

ซึ่งหลังจากที่แม่ของ Jimmy ได้แต่งงานกับสามีคนใหม่ เธอได้ทิ้ง Jimmy ให้ใช้ชีวิตในโรงเรียนใหม่นามว่า Bullworth Academy ที่มีชื่อเสียงด้านลบว่าเป็นแหล่งรวมเด็กเกเรและเป็นโรงเรียนที่แย่ที่สุดในประเทศสหรัฐฯ (โรงเรียนตั้งอยู่ที่รัฐ New England) แล้วไป Honeymoon กันเพียงแค่สองคน (คุณแม่ดีเด่นจริง ๆ)

Bullworth Academy ถือเป็นโอกาสสุดท้ายของ Jimmy ที่จะยังคงใช้ชีวิตแบบเด็กปกติ เพราะหากถูกไล่ออกจากโรงเรียนครั้งที่ 8 เขาจะต้องถูกกักขังตัวที่ศูนย์เด็กและเยาวชนเพื่อดัดพฤติกรรม ฉะนั้น Jimmy จึงต้องเรียนรู้และสร้างชื่อเสียงตนเองเพื่อเอาชีวิตรอดจากโรงเรียนแห่งนี้ให้ได้

เป็นเกม Open World ไม่เหมือนใคร

Bully

Bully ถือเป็นเกมแรกและคาดว่าเป็นเกมเดียวที่เป็นเกมประเภท Open-World ที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นเด็กเกเรแล้วสามารถตระเวนป่วนไปทั่วเมือง Bullworth

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับเกมเปิดโลก ทั่วไป คือ “คุณเป็นนักเรียน” เพราะเนื่องจากตัวละครเอกในเกมยังคงเป็น “เด็ก” ทำให้กฎระเบียบเข้ามาขัดขวางคุณอยู่เสมอ สมมุติว่าหากผู้เล่นโดดเรียน ฝ่ายผู้ดูแลหรือตำรวจนอกเมืองจะล่าตัวผู้เล่นให้กลับเข้าคลาสเรียน, แต่งกายต้องถูกกฎระเบียบของโรงเรียน, ห้ามขี่จักรยานในโรงเรียน, สี่ทุ่มจะเป็นช่วงเวลาเคอร์ฟิวที่เด็กทุกคนต้องกลับบ้าน, ขับมอเตอร์ไซค์จะต้องสวมหมวกน็อค, และอื่น ๆ อีกมากมายที่อธิบายเท่าไหร่ก็หมด เพราะกฎระเบียบมันเยอะมาก

แน่นอนว่าระบบดังกล่าว ต้องไม่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเกมเมอร์ด้วยกฎระเบียบของเกมที่จุกจิกเกินไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันใช้ได้ผลสำหรับเกม Bully ซึ่งทั้งหมดต้องยกความดีให้กับตัวละครเอก Jimmy Hopkins ที่มีบทบาทของเด็กเกเร ผู้ไม่เคยเชื่อฟังผู้ใหญ่อยู่แล้ว ทำให้การแหกกฎจึงเป็นสิ่งที่ผู้เล่นหลีกเลี่ยงไม่ได้และรู้สึกสมเหตุสมผล

และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เกม Bully มีความสนุกสนานในฉบับ Open-World แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างคอยกีดขวางความอิสระก็ตาม เพราะผู้เล่นจะรู้สึกอินและฟีลกู้ดทุกครั้งที่ได้แหกกฎระเบียบสุดไร้สาระบ้าบอ หรือสามารถต่อสู้ NPC ได้ทุกคน ถือเป็นความฝันสูงสุดสำหรับคนที่โดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนบนโลกชีวิตจริงชัด ๆ

เนื้อเรื่องกับแนวทางจะสร้างอย่างไรก็สดใหม่

Bully

Rockstar Games มีชื่อเสียงด้านการแต่งเรื่องราวจิกกัดหรือแซะสังคมค่อนข้างเก่ง และหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดคือเกม Bully ที่มีการนำเสนอเนื้อหาเชิงเสียดสีสังคมภายในโรงเรียนแบบจัดเต็ม

ไหนจะเรื่องการวางอำนาจ, ปัญหาการกลั่นแกล้ง, ครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน, คอรัปชั่น, ผอ.เพิกเฉยต่อปัญหา, เด็กเส้น และอีกนานาสารพัดที่ไม่มีสื่อวิดีโอเกมไหนกล้าที่จะนำเสนอและกล้าให้ผู้เล่นได้สัมผัสแบบถึงพริกถึงขิง

รวมไปถึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเนื้อเรื่องของเกม Bully ยังสามารถสานเป็นภาคต่อหรือเนื้อเรื่องใหม่ได้เรื่อย ๆ คล้ายกับเกมซีรีส์ Grand Theft Auto และไอเดียของเกม Bully มีเอกลักษณ์อย่างมาก ซึ่งแม้ว่าเกมภาคแรกจะมีอายุมากถึง 12 ปี แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แทบไม่มีแม้แต่เกมเดียวที่ทำเกม Open-World เกี่ยวกับธีมนักเรียนตีกัน

ฉะนั้น ทุกวันนี้เกมเมอร์ยังคงรอคอยต้อนรับการกลับมาของเกม Bully เพราะไม่มีบริษัทเกมไหนที่กล้าจะทำเท่ากับทีมงาน Rockstar Games หรือ Rockstar สาขาอื่นอีกแล้ว

เกมประสบความสำเร็จในแง่เสียงวิจารณ์

หัวข้อนี้ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะพิสูจน์ว่าเกม Bully มีโอกาสพัฒนาภาคต่อ เพราะหลังจากเกมนี้ออกวางจำหน่ายในปี 2006 ตัวเกม Bully มีกระแสวิจารณ์ได้แง่บวกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการนำเสนอไอเดียที่แปลกใหม่, ระบบเกมเพลย์สนุก, และเนื้อเรื่องตลกร้ายที่เสียดสีสังคมโรงเรียนได้อย่างเจ็บแสบ ทำให้แหล่งเจ้าสำนักรีวิวยกย่องให้คะแนนเกม Bully อยู่ในเกณฑ์สูง เช่น IGN 8.9, Gamespot 8.7, Metacritics 87%, GamesRadar+ 4.5/5

ส่วนยอดขายวิดีโอเกมก็ไม่เลวเลย โดย Bully สามารถขายแผ่นเกมได้ทั้งหมด 1.5 ล้านชุด (สำหรับ PS2) มียอดขายเทียบเท่ากับเกม Tony Hawk’s Underground 2 และ Virtua Fighter 4 ซึ่งแม้ว่าตัวเลขจะยังคงห่างไกลจากเกมซีรีส์ Grand Theft Auto อยู่หลายขุม แต่สำหรับเกมออริจินัลตัวใหม่แล้ว ตัวเลขดังกล่าวถือว่าเกม Bully ประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย

ทำไมทีมงานไม่สร้าง Bully ภาคใหม่ซะที ?

Bully

คำตอบสั้น ๆ เลยคือเนื้อหาข้างในเป็น เด็กต่ำกว่า 18 ปี ทำให้การนำเสนอตัวเกมมีความอ่อนไหวมากกว่าเกมซีรีส์ Grand Theft Auto หลายเท่า ทำให้ทีมงานต้องระมัดระวังกับการสร้างเกมมากกว่าเดิม

แล้วถ้าหากย้อนกลับไปในช่วงที่เกมเพิ่งออกจำหน่ายครั้งแรก เกม Bully ได้รับกระแสต่อต้านจากผู้ปกครองกับกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ที่รณรงค์เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน เช่นกลุ่ม Bullying Online, Anti-Bullying Organizations จนต้องเปลี่ยนชื่อเกมเป็น Canis Canem Edit ในโซน UK/EU

นอกจากเหนือจากนี้ เกม Bully ตกเป็นหนึ่งในเกมที่มีข้อพิพาทถกเถียงจากสังคมทั่วไปจนต้องมีการจัดการเรทติ้งที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และขึ้นแท่นเป็นวิดีโอเกมที่มีคนกล่าวถึงมากที่สุดตลอดกาลสำหรับเว็บไซต์ Yahoo! Games

ซึ่งเคสที่กล่าวมาทั้งหมด เริ่มเป็นประเด็นอ่อนไหวมากเป็นพิเศษสำหรับประเทศสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า Rockstar Games คงไม่อยากเสี่ยงที่จะสร้างเกมที่มีโอกาสโดนต่อต้านจากทุกฝ่าย หรือทีมงานอาจต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อทำเกม Bully ภาคต่อไปได้อย่างมีคุณภาพนั่นเองครับ

0 item total: 0 บาท