Review : Netflix ‘The Witcher’ ความลงตัวของต้นฉบับนิยายและวิดีโอเกม
หลังจากประกาศสร้างกันมาตั้งแต่ปี 2017 ในที่สุดซีรีส์ The Witcher ก็ออกฉายพร้อมกันทั่วโลกแล้วทาง Netflix โดยออกอากาศเป็นซีซั่นความยาว 8 ตอนจบ และซีรีส์ที่สร้างจากหนังสือชื่อดัง และเกมชื่อดังขนาดนี้ จะออกมาเป็นอย่างไร เชิญพบกับบทความรีวิวกันได้
ก่อนอื่นคือในเวอร์ชั่นซีรีส์นั้น หยิบเอาเรื่องราวของฉบับเกมทุกภาคมาใส่ และยังใส่กลิ่นอายของนิยายต้นฉบับลงไปอีกด้วย ดังนั้นหากจะให้เทียบเนื้อเรื่องจะค่อนข้างลำบาก ผู้เขียนแนะนำว่าให้คิดซะว่าให้ดูซีรีส์แบบแยกเป็นเอกเทศน์ไปเลยไม่อย่างนั้นเวลาดูคุณอาจจะหยิบฉากนั้น ฉากนี้ไปเปรียบเทียบ หรือหาข้อมูลว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน จะดูไม่สนุกซะเปล่า ๆ แนะนำว่าดูโดยคิดว่ามันเป็นซีรีส์เดี่ยวของมันไปเลย และมีตัวละครคุ้นหน้าคุ้นตาจากในเกม หรือหนังสือนิยายมามาเป็นพื้นฐานเท่านั้น
เนื้อเรื่อง
ตัวซีรีส์ในซีซั่นแรกนั้นจะเล่าเรื่องราวของ 3 ตัวละครหลัก ๆ แต่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี นั่นคือ Geralt , Ciri และ Yennefer แต่ด้วยการเล่าเรื่องแบบตัดสลับไปมาระหว่าง 3 ตัวละครใน 1 ตอน ก็อาจจะทำให้ผู้ชมหลายคนเกิดความงงไม่มากก็น้อย และที่สำคัญซีรีส์ยังเล่าเรื่องโดยใช้พื้นฐานทั้งจากหนังสือและเกมผสมกัน ยิ่งทำให้คนที่ไม่เคยเสพทั้งสองอย่างมาก่อน อาจจะต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงเหตุการณ์นิดนึง
ตัวละคร Geralt นั้นในช่วงแรกจะเล่าถึงชีวิตร่อนเร่พเนจรของเขา คอยรับงานไล่ล่าปีศาจไปเรื่อย ใช้ชีวิตสมกับเป็นวิชเชอร์ และที่ต้องชมเลยจริง ๆ คือการสวมบทบาทเป็น Geralt ได้อย่างยอดเยี่ยมของนักแสดงอย่าง Henry Cavill เพราะไม่ว่าจะเป็นท่าทาง ลีลาการแอ็คชั่น หรือแม้กระทั่งเสียงนั้น แทบจะถอดแบบจาก Geralt ในเวอร์ชั่นเกม The Witcher 3 มาแบบทั้งดุ้น โดยเฉพาะเสียงพูดที่ทำเอานึกว่าเปิดเกมเล่นเองมากกว่าดูเวอร์ชั่นซีรีส์ซะอีก
การเล่าเรื่องของซีรีส์ในช่วงแรกอย่างที่บอกว่ามันไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผู้ชมหน้าใหม่สักเท่าไร นอกจากความเรื่อย ๆ ของการเล่าเรื่อง ที่อาจทำให้ผู้ชมหาวกันจนเมื่อยไปข้าง กว่าเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้าที่เข้าทางและน่าติดตาม ก็อาจจะต้องใช้เวลาสัก 3 ตอน ก่อนที่ทุกตัวละครจะมีเส้นทางมาบรรจบกันในช่วงท้าย ถือว่าแม้จะมีปัญหาในด้านการเล่าเรื่องช่วงต้น (ซึ่งซีรีส์หลายเรื่องก็เป็นแบบนี้) แต่หากผ่านพ้นช่วงแรกไปได้ ก็อาจจะเพลินจนลืมเวลาไปเลยก็เป็นได้
การนำเสนอ
อย่างที่บอกว่าซีรีส์นั้นนำเสนอเรื่องราวผ่านสามตัวละคร ทำให้สถานที่หลัก ๆ ที่เราได้เห็นตัวละครแต่ละตัวผจญภัยไปนั้นแตกต่างกันไป Geralt จะต้องบุกป่าฝ่าดง รับมือกับปีศาจ มีบ้างที่ต้องไปพัวพันกับราชวงศ์ (แบบที่เราเห็นกันในเกม) ในขณะที่ Yennefer จะถูกเล่าเรื่องราวผ่านสถานที่ที่ชุบเลี้ยงเธอมาตั้งแต่แรกจนกระทั่งได้กลายเป็นจอมเวทและเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันตรายต่าง ๆ ซึ่งส่วนนี้มีการยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาบนซีรีส์นี้โดยเฉพาะ ส่วน Ciri ต้องหนีตายจากการถูกอาณาจักรนิล์ฟการ์ดไล่ล่า
ซึ่งในส่วนของนักแสดงผู้รับบท Ciri อย่าง Freya Allan และ Anya Chalotra ที่รับบท Yennefer แม้จะไม่ค่อยเหมือนเกมมากนัก แต่ก็ไปเหมือนกับภาพจินตนาการที่แฟน ๆ นึกภาพเอาไว้ ทำให้ดูไม่ขัดใจนัก ที่ดูแฟน ๆ จะไม่พอใจมากที่สุดคือตัวละคร Triss Marigold ที่เปลี่ยนซะจนไม่เหลือเค้าเดิมของเกมหรือนิยายเลย ถือเป็นอีกจุดที่หลายคนผิดหวังกันพอสมควร
ในแต่ละสถานที่ที่ตัวละครทั้งสามไปเผชิญหน้า จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นทำให้เราจะเห็นได้ถึงความหลากหลายของสถานที่ ซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงคุณภาพของตัวซีรีส์ แม้ว่าเบื้องหลังส่วนมากอาจจะเป็นกรีนสกรีนอย่างที่เราน่าจะเดากันได้ แต่ก็ยังถือว่าทำออกมาสวยงามและสมจริงเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงส่วนของซีจีที่ใช้สร้างเหล่าศัตรูเหนือธรรมชาติ ที่ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน
ในส่วนของฉากแอ็คชั่นที่ต้องบอกว่ามาพร้อมกับความโหดร้ายและรุนแรงมาก นอกจากจะเลือดสาดแล้วยังขาขาดแขนขาดกระจายแบบไม่มีเซ็นเซอร์ใด ๆ นอกจากความโหดและความรุนแรงแล้ว ฉากแอ็คชั่นยังถูกถ่ายทอดออกมาได้ดุดิบมาก และการต่อสู้ของแต่ละคนก็ถอดแบบออกมาจากเกมได้ดี เช่น Geralt ก็จะเน้นใช้ดาบและคาถา Sign และบางทีก็มีการใช้ Potion เสริมพลัง ซึ่งตรงนี้ก็ยังต้องย้อนกลับไปชม Henry Cavill กันอีกรอบที่สามารถโชว์ลีลาแอ็คชั่นได้เหมือนกับในเกมแทบจะไร้ที่ติ
หรืออย่าง Yennefer ที่ใช้พลังแนวเวทมนต์ ไสยศาสตร์ แม้จะมีบ้างบางฉากที่ลอยอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ยังได้มาตรฐานซีรีส์ทุนสูงจาก Netflix เรียกได้ว่าปัญหาในการนำเสนอนั้นมีค่อนข้างน้อยมาก อย่างที่บอกว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องสักเล็กน้อย แต่คาดว่าถ้าตั้งใจดูก็น่าจะเข้าใจได้โดยไม่ยากนัก (เว้นแต่ถ้าใครดูแล้วรู้สึกไม่ถูกจริตจริง ๆ ก็คงต้องทำใจแล้วล่ะว่ามันอาจจะไม่ใช่ทางของคุณ)
0 item total: 0 บาท |