This War of Mine : ในทุกสงคราม ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นทหาร
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงไม่แน่นอนของรัสเซียและยูเครนตามที่เราได้เห็นกันไปแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากใครยังจำกันได้ ย้อนไปเมื่อปี 2014 มีเกมเกมหนึ่งที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามออกมาวางจำหน่าย และมันกลายเป็นเกมที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก เกมนั้นคือ This War of Mine จาก 11Bit Studios และวันนี้เราจะพูดถึงเกมนี้กัน เกมที่เราจะเป็นเพียงคนธรรมดา ที่อยู่ท่ามกลางไฟสงคราม
สอดส่องอีกมุมมองหนึ่งของสงคราม
หากจะบอกว่าหลายคนโชคดี ที่เกิดอยู่ในประเทศหรือดินแดนที่ไม่มีสงคราม ก็คงบอกได้อย่างนั้น เมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นทหาร ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นวีรบุรุษสงคราม เพราะคนส่วนมากที่อยู่ในประเทศย่อมต้องเป็นประชาชนคนธรรมดา โดยทางผู้พัฒนาเผยว่า ตัวเกมได้รับแรงบันดาลมาจากสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่และโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยพลเรือนของบอสเนียต้องเผชิญหน้าการปิดล้อมเมืองซาราเยโวในช่วงปี 1992 – 1996 ซึ่งเป็นการปิดล้อมเมืองที่ยาวที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งนั้น
ตามปกติแล้ว เกมแนวสงครามเรามักจะนึกถึงเกมยิงแหลกสุดเดือด อย่าง Call of Duty, Battlefield หรือเกมอื่น ๆ อีกมาก แต่นี่คือขั้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เหมือนเป็นการฉายภาพแห่งความสิ้นหวังและความรุนแรง และทำให้ผู้เล่นมองเห็นอีกมุมหนึ่งของสงคราม เพราะในขณะที่วิดีโอเกมใช้สงครามเป็นการต่อสู้ชิงชัยความเป็นหนึ่งระหว่างผู้เล่นด้วยกัน แต่ในชีวิตจริง ของจริงนั้น สงครามไม่ใช่เรื่องสนุก และมันคือนรกบนดินของแท้
11Bit Studio เป็นสตูดิโอพัฒนาเกมที่อยู่ในกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ แถมบรรยากาศรอบ ๆ สตูดิโอ (ในช่วงที่พัฒนาเกม) ยังคงหลงเหลือร่องรอยของสงคราม เช่นรูกระสุนบนกำแพง และอื่น ๆ อีกมากมาย
เมื่อคุณเล่นเกมสงคราม ส่วนใหญ่แล้วมันดูน่าสนุก มันเหมือนเราเป็นเด็กน้อย กำลังเล่นอยู่ในสนามหลังบ้าน เราเล่นยิงปืนพลาสติกกัน แบ่งสองกลุ่ม ฉันเป็นโจร นายเป็นผู้ร้าย แต่ในสงครามจริง ไม่เลย มันไม่ใช่แบบนั้น ทหารก็ไม่ใช่แบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับพลเรือนด้วย
- Karol Zajazzkowski หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ 11Bit Studio
และเพราะการนี้ ทาง 11Bit จึงอยากจะสร้างเกมที่เป็นตัวแทนของคำว่าสงครามจริง ๆ เกมนั้นคือ This War of Mine เกมนี้ทำให้พวกเขาต้องค้นคว้าและศึกษาให้แน่ชัดว่าพลเรือนจะต้องอาศัยอยู่กับความขัดแย้งและเอาตัวรอดอย่างไรท่ามกลางไฟสงคราม เพื่อการนี้พวกเขาถึงขั้นตามหาประชาชนในเมืองซาราเยโว เพื่อสอบถามข้อมูลและใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเกม
มันยากที่จะทำให้พวกเขาพูดนะ เพราะมันคือเรื่องที่ไม่มีใครอยากจำ พวกเขาสูญเสียญาติ สูญเสียบ้าน และต้องออกจากบ้านเกิด พวกเขาต้องการลืมว่าพวกเขาเคยอยู่ที่นั่น
ซึ่งท้ายที่สุด ด้วยความพยายามอย่างหนัก จึงเกิดเป็นเกมที่โด่งดังมาจนทุกวันนี้อย่าง This War of Mine
การเอาตัวรอดในสงครามไม่ใช่เรื่องสนุก
แม้ว่าจะเป็นเกมเอาตัวรอด แต่เกมนี้มีความแตกต่างจากเกมอื่น ๆ ในขณะที่เกมอื่น แม้จะใช้คำว่า “เอาตัวรอด” แต่มันก็เป็นเพียงการออกไปหาทรัพยากร ผจญภัยสนุก ๆ เท่านั้น แต่สำหรับ This War of Mine นั้น ถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน เพราะท่ามกลางไฟสงครามแบบนี้ ไม่มีอะไรเลยที่ง่าย เราจะเริ่มต้นจากการเลือกทีมผู้รอดชีวิตทั้ง 3 ที่จะมีทักษะ และความสามารถที่แตกต่างกันไป เช่นบางคนเป็นทหารผ่านศึก ทำให้มีความสามารถในการต่อสู้ บางคนเป็นพ่อครัว ทำอาหารได้ดี บางคนเป็นนักย่องเบา ออกไปหาของตอนกลางคืนได้ดีกว่า
หน้าที่ของผู้เล่น คือการพยายามทำให้ทุกตัวละครสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ โดยเกมจะแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 2 ช่วง เวลากลางวันและกลางคืน ช่วงเวลากลางวัน จะเป็นเวลาที่ผู้เล่นต้องบริหารจัดการทรัพยากร อาหารที่มีอยู่ หรือทำการอัปเกรด คอยดูแลเหล่าผู้รอดชีวิต และตอนกลางคืน ผู้เล่นจะต้องแบ่งคนออกไปสำรวจพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อตามหาทรัพยากรในการเอาตัวรอดในแต่ละวัน ซึ่งตรงนี้เรามีโอกาสที่จะออกไปเจอเหล่าผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนด้วยกันเอง กองโจร หรือพวกทหาร แม้จะอันตราย แต่ถ้าของไม่พอกินพอใช้ ยังไงก็ต้องเสี่ยง
ยังมีระบบอื่น ๆ เช่น หากตัวละครของเราไปทำเรื่องไม่ดีเข้า เช่นขโมยของจากคนไร้ทางสู้ หรือเผลอฆ่าคนตาย ก็อาจจะทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ จนถึงขั้นหนีไป หรือหนักกว่านั้นคือการฆ่าตัวตาย เกมยังมีระบบอื่น ๆ เช่นเราสามารถสร้างวิทยุเอาไว้ฟังเพลง รับฟังข่าวสาร ทำให้จิตใจตัวละครผ่อนคลาย หรือวางแผนจะทำอะไรในแต่ละวัน สร้างกีตาร์ หาหนังสือให้ตัวละครอ่าน ช่วยลดระดับความเครียด
ด้วยความยากและความกดดันทำให้ตัวเกมได้รับการพูดถึงอย่างมาก เพราะมันคือการจำลองสถานการณ์การเอาตัวรอดในสงครามที่ค่อนข้างจริงจัง ไม่เหมือนเกมอื่น ทำให้มันกลายเป็นจุดขายของเกมนี้ไปโดยสิ้นเชิง โดยในปีแรก เกมทำยอดขายไปสูงถึง 700,000 ชุด และทำยอดขายเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
0 item total: 0 บาท |